Logo wiselabmedia

เปรียบเทียบ WordPress VS Joomla

mnm all 582105 unsplash

สำหรับใครก็ตามที่อยากจะสร้างเว็บไซต์ด้วยระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ทั้ง WordPress, Joomla หรือไม่ว่าจะเป็น Drupal คงจะเป็นตัวเลือกแรกๆที่ผู้ใช้งานนึกถึงใช่มั้ยครับ ซึ่งหากจะให้ตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งคงจะเป็นการตัดสินใจที่ยากทีเดียว เนื่องจากแต่ละตัวนั้นค่อนข้างที่จะมีความคล้ายคลึงกัน ดังนั้นในบทความนี้จะมาเปรียบเทียบรวมทั้งเล่าภาพรวมของแต่ละระบบให้เห็นว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันในส่วนไหนบ้างครับ

ถ้าหากให้พูดถึงส่วนแบ่งทางการตลาดแล้ว WordPress ถือว่าเป็นราชาอันดับ 1 ในแพลตฟอร์ม CMS ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดไป 58% ตามมาด้วย Joomla 7% ครองส่วนแบ่งเป็นอันดับที่สอง และ Drupal  4% ตามมาเป็นอันอับที่สาม แม้ว่าถ้ามองจากส่วนแบ่งทางการตลาดแล้ว WordPress จะอยู่เหนือกว่า Joomla กับ Drupal มากแต่ก็มีหลายแง่มุมที่ WordPress ตกอยู่เบื้องหลัง

โดยภาพรวมแล้วทั้ง WordPress, Joomla, Drupal ล้วนเป็นซอฟท์แวร์ Open Source ที่สามารถโหลดมาใช้งานได้ฟรี โดยซอฟต์แวร์เหล่านี้ถูกพัฒนาโดยผู้ใช้งานในคอมมูนิตี้กว่า 1,000 กลุ่ม ทั้งสามแพลตฟอร์มนั้นเขียนด้วยภาษา PHP และใช้ระบบจัดการฐานข้อมูล MySQL อีกทั้งยังมีเทมเพลตสำหรับการออกแบบ รวมทั้งมีปลั๊กอินสำหรับติดตั้งเพื่อเพิ่มคุณสมบัติต่างๆให้กับเว็บไซต์ แม้ว่าในภาพรวมทั้งสามจะมีแพลตฟอร์มที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปก็จะเห็นได้ว่าแต่ละตัวนั้นมีกระบวนการในการสร้างเว็บไซต์ที่แตกต่างกันครับ

จูมล่า (Joomla)

Joomla เป็นระบบ CMS เพื่อบริหารจัดการข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมาก มีการวางโครงสร้างทางด้านโปรแกรมไว้เป็นสัดส่วน เหมาะสำหรับนำมาใช้ทำเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน หลักการสำคัญของการจัดการคือ

  • จัดหมวดหมู่ของเนื้อหาเว็บเป็น category ได้
  • จัดทำหน้าโชว์ข้อมูลใน category ได้หลายรูปแบบ ทั้ง List และ Blog โดยผ่านการกำหนดของ Menu
  • มี Template ที่ออกแบบสวยงามแล้วให้ใช้งานได้
  • เพิ่มความสามารถต่างๆ ได้โดยการใช้ Extension เสริม

นับเป็น cms ที่ใช้จัดทำเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมากตัวนึง แต่ทั้งนี้ Joomla ได้ลดความนิยมลงไป จากการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของ WordPress

เวิร์ดเพรส (WordPress)

WordPress เป็นระบบ CMS ที่เริ่มจากการเป็นที่นิยมของกลุ่ม Bloger หรือนักเขียน เหมาะสำหรับมือใหม่เน้นการใช้งานง่าย สร้างเว็บไซต์ขนาดกลาง-เล็ก และมีความสามารถในการทำ SEO มากที่สุด การใช้งานหลักจะเหมือนกับ Joomla มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป คือ

  • ส่วนเสริม Elementor หรือกลุ่ม Page Builder ทำให้การสร้างเนื้อหาได้หลากหลาย สวยงาม และยืดหยุ่นมากกว่า Editor Tools ธรรมดา
  • การรองรับการจัดทำหน้าเว็บเป็นแบบ Responsive ที่ดูได้จากทุกรูปแบบ device ได้ดีกว่า
  • มี Plugin จำนวนมาก ช่วยในการปรับความสามารถ

ในการจัดทำเว็บ ต้องคำนึงถึง Tools ที่เสริมความสามารถในการจัดทำให้ตรงกับจุดประสงค์ของเว็บไซต์ ในแต่ละระบบก็มีข้อดี/ข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ content หรือเนื้อหาในเว็บไซต์ต้องถูกต้อง และสื่อสารได้ตรงประเด็นกับที่ต้องการ จะทำให้เว็บและสิ่งที่เราเผยแพร่ได้รับความนิยมและมีผลต่อ search engine ต่อไป

ปัจจุบันมีระบบ CMS มากมายให้เลือก เช่น WordPress, Joomla, Drupal, Magento, Wix, Shopify, SquareSpace, Typo3, Blogger และอื่นๆ CMS เหล่านี้มีข้อดีข้อเสียของตัวเอง บางตัวใช้ฟรี บางตัวต้องจ่ายเงิน แต่มี 2 CMS ที่โดดเด่นกว่าเพื่อนคือ WordPress และ Joomla! ทั้งสองแพลตฟอร์มมีชื่อเสียงในด้านการใช้งานง่าย ปรับแต่งหน้าตาได้หลากหลาย

ข้อแตกต่างเปรียบเทียบได้ดังนี้

ความง่ายในการใช้งาน

WordPress ใช้งานง่ายกว่า ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน ส่วน Joomla ก็ใช้งานง่าย แต่ใช้เวลาเรียนรู้ระบบมากกว่า ความง่ายในที่นี้หมายถึงระดับ User ที่แก้ไข เพิ่มข้อมูล แต่ถ้าเป็นการติดตั้งระบบ ตลอดจนตั้งค่าโปรแกรมส่วนเสริมต่างๆ ให้เว็บใช้งานได้จริง ก็จะไม่ใช่งานง่าย เสียเวลามาก ควรให้มืออาชีพช่วยดีกว่า

สำหรับลูกค้าของ Wiselab media ไม่ว่าจะทำเว็บด้วยเวิร์ดเพรสหรือจูมล่า ถ้ามีการแก้ไขเล็กน้อยหลังจากทำเว็บเสร็จ Wiselab media จะช่วยลูกค้าอัพเดทเสมอ

ความสวยงามของเว็บไซต์

ปัจจุบันเว็บที่สร้างด้วย WordPress หรือ Joomla มีรูปแบบความสวยงามใกล้เคียงกัน การดูภายนอกจะไม่รู้เลยว่าเว็บสร้างมาจาก CMS ตัวไหน เราสามารถเลือก Theme/Template ได้จากผู้ออกแบบทั่วโลก

ข้อควรระวังคือดีไซน์ที่เราเห็นว่าสวย Theme/Template เหล่านี้ใช้รูปภาพระดับมืออาชีพ การวางเนื้อหาให้ดูลงตัวเรียบร้อย การทำงานจริง Wiselab media พบว่ารูปภาพของลูกค้ามักเป็นรูปที่ต้องตกแต่ง ปรับภาพ เนื้อหาของลูกค้ามักจะขาดบ้างเกินบ้าง จะต้องปรับ layout/design จาก Theme/Template ทุกเว็บไซต์

ความปลอดภัย Security

ในแง่ของความปลอดภัย ถือว่าระบบหลักของทั้ง 2 โปรแกรมดี ทั้งคู่มีการพัฒนาและแก้ไขอุดช่องโหว่การโจมตีจากมัลแวร์อย่างสม่ำเสมอ เพียงแต่ผู้ดูแลเว็บไซต์ต้องอัพเดทโปรแกรมที่ติดตั้งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ทั้งโปรแกรมหลัก ธีม ปลั๊กอิน ของเวิร์ดเพรส (เทมเพลท Extension ของจูมล่า) เว็บไซต์นั้นก็จะใช้งานได้ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ความนิยมของ WordPress ได้ดึงดูดอาชญากรรมไซเบอร์จำนวนมาก ส่วนที่ถูกโจมตีกลับไม่ใช่ตัวโปรแกรมเวิร์ดเพรส แต่เป็น 3rd Party คือ ปลั๊กอินและธีม อ้างอิงข้อมูลจาก wpscan.com วันที่ 15 เมษายน 2564 แสดงการโจมตีเว็บไซต์ที่สร้างด้วยเวิร์ดเพรสเกิดกับปลั๊กอิน 88% ธีม 7% โปรแกรมหลักของเวิร์ดเพรส 5%

โดยสรุป เราสามารถวางใจการใช้งานเวิร์ดเพรสและจูมล่าได้ โดยผู้ทำเว็บไซต์นั้นจะต้องอัพเดทโปรแกรม ปลั๊กอิน ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของเว็บไซต์

นอกจากนี้เราขอแนะนำว่า ท่านควรการเลือกใช้บริการ Hosting ที่มีระบบสำรองข้อมูลเป็นประจำก็เป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันและรักษาข้อมูลของเว็บไซต์

ความสามารถในการจัดการระบบ

เรามักได้ยินว่า WordPress ทำเว็บอะไรก็ได้ Joomla ก็เช่นกัน แต่ถ้าเว็บที่ที่มีข้อมูลมาก เว็บเวิร์ดเพรสเมื่อทำเสร็จแล้วการแก้ไขเชิงโครงสร้างจะยุ่งยาก ใช้เวลามากกว่า ในขณะที่ Joomla สามารถจัดการระบบได้ดีกว่า

ยกตัวอย่างเช่น จูมล่ามี Menu Assignment ส่วนนี้มีประโยชน์มาก แต่เวิร์ดเพรสไม่มี ปกติการทำเว็บจะมีส่วนที่ใช้งานเฉพาะด้านเรียกว่าโมดูล ตัวอย่างที่เราใช้บ่อยคือ Menu module (กลุ่มรายการเมนู) เราสามารถสั่งให้โมดูลไปแสดง/ไม่แสดง ที่หน้าใดก็ได้ โดยสั่งผ่าน Menu Assignment เพียงไม่กี่คลิก

เช่น Menu module ของสินค้ากลุ่ม A ให้แสดงเฉพาะหน้าสินค้าของกลุ่ม A เท่านั้น ในขณะที่ WordPress เราต้องเอา plugin (คือ module ของจูลล่า) ไปวางแต่ละหน้าของสินค้า A เอง ย่อมเสียเวลาและผิดพลาดง่ายกว่า

ส่วนแบ่งการตลาด

ข้อมูลจากเว็บไซต์หลายๆ เว็บที่รวบรวมสถิติการใช้งาน CMS สรุปได้ว่า WordPress มีส่วนแบ่งการใช้งาน CMS ทั้งโลกประมาณ 60% เป็นอันดับ 1 ทิ้งห่างคู่แข่งโดยไร้ข้อโต้แย้ง ส่วน Joomla อยู่อันดับประมาณที่ 2 มีส่วนแบ่ง 4 % จูมล่ามีผู้ใช้กว่า 2 ล้านเว็บไซต์ อันดับรองจากนี้เป็นของ CMS ที่เหลืออีกกว่า 100โปรแกรม มีส่วนแบ่งลดหลั่นกันไป

ข้อเปรียบเทียบWordPressJoomla!
การติดตั้งง่ายมาก โดยใช้ Softaculus
โปรแกรมช่วยติดตั้งซอฟแวร์บนเซอร์เวอร์
ง่ายมาก โดยใช้ Softaculus
ระดับการเรียนรู้ใช้เวลาไม่นานช่วงแรกควรมีการแนะนำการใช้ แต่ใช้เวลาไม่นาน
ความง่ายในการใช้งานใช้งานง่ายใช้งานง่าย
ราคาสำหรับ Wiselab media ราคาทำเว็บด้วย
WordPress หรือ Jooml! ไม่แตกต่างกัน
สำหรับ Wiselab media ราคาทำเว็บด้วย
WordPress หรือ Jooml! ไม่แตกต่างกัน
ใช้ทำเว็บอะไรได้บ้างทำเว็บได้แทบทุกประเภททำเว็บได้แทบทุกประเภท
ขนาดของเว็บไซต์เหมาะกับเว็บไซต์ที่ไม่ซับซ้อนเหมาะกับเว็บขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ หรือมีแนวโน้มจะขยายตัว
การจัดการข้อมูลเชิงระบบใช้เวลาแก้ไขนาน ยุ่งยากกว่า โอกาสผิดพลาดง่ายจัดการเชิงระบบได้ดีกว่า เร็วกว่า ผิดพลาดน้อยกว่า
รูปแบบความสวยงามของเว็บWordPress เรียกว่า Themes ธีม
มีให้เลือก 51,427 Themes (17 เม.ย. 64 อ้างอิง https://themeforest.net)
Joomla! เรียกว่า Template เทมเพลท
มีให้เลือก 1000+ เทมเพลท (17 เม.ย. 64 อ้างอิง https://themeforest.net/category/cms-themes/joomla)
โปรแกรมเสริมWordPress เรียกว่า Plugin ปลั๊กอิน
มีให้เลือกประมาณ 58,363 ปลั๊กอิน ณ 17เม.ย.64 อ้างอิง https://wordpress.org/plugins
Joomla! เรียกว่า Extension มี 3 ส่วน คือ Component, Module, Plugin
มีให้เลือกประมาณ 6000 Extension ณ 17เม.ย.64 อ้างอิง https://extensions.joomla.org
ความปลอดภัย Securityโปรแกรมหลักมี Security ดี แต่ Plugin มักถูก Hacker, Malware โจมตีโปรแกรมหลักมี Security ดี
การรองรับการทำ SEOSEO Friendly และมีปลั๊กอิน Yoast SEO ที่มีประโยชน์มากSEO Friendly ไม่แตกต่างกัน
สามารถทำให้เว็บติด Google อันดับต้นๆ ได้เช่นกัน
ส่วนแบ่งของการใช้ CMS ทั่วโลก60%5%

ความแตกต่างระหว่าง WordPress, Joomla, และ Drupal 

CMSWordPressJoomlaDrupal
เกี่ยวกับเราWordPress เป็นซอฟต์แวร์ Open Source ที่ทำให้คุณสามารถสร้างเว็บไซต์, บล๊อก, แอพพลิเคชั่นได้อย่างสวยงามJoomla เป็นระบบจัดการเนื้อหาที่ได้รับรางวัล ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถสร้างเว็บไซต์และแอพลิเคชั่นออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพDrupal เป็นซอฟต์แวร์การจัดการเนื้อหา ที่นำมาสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมากมายที่คุณใช้ทุกวัน
ประเภทซอฟต์แวร์เป็น Open Source สามารถใช้งานฟรีเป็น Open Source สามารถใช้งานฟรีเป็น Open Source สามารถใช้งานฟรี
ส่วนแบ่งการตลาด (CMS)58.9%7.0%4.7%
การติดตั้งOne-click Install ติดตั้งภายใน 5 นาทีOne-click Install ติดตั้งภายใน 10 นาทีOne-click Install ติดตั้งภายใน 10 นาที
การใช้งานเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมาก (5/5)เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานในระดับหนึ่ง (4/5)ต้องมีความรู้พื้นฐาน ด้าน HTML PHP (3.5/5)
ธีม4500+ Official Themes (ฟรี) 9500+ Premium Themes (ใน ThemeForest)ไม่มีธีม Official  950+ Premium Templates (ใน ThemeForest)2000+ Official Themes 450+ Premium Themes (ใน ThemeForest)
ปลั๊กอินและส่วนขยาย50,000+ Official Plugins (ฟรี)7500+ Official Extensions (ฟรี+เสียเงิน)37,000+ Module
เว็บไซต์ชั้นนำChicaco Sun Times, Vogue India, Katy PerryMichael Phelps – MP Brand, Discover Magazine, French West IndiesUS. Department of Energy, University of Minnesota

หากให้เปรียบเทียบกันแล้วแล้ว WordPress นั้นจะโดดเด่นที่การติดตั้งที่ง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานเหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ขนาดกลางและเว็บบล็อกทั่วไป และเหมาะสำหรับการทำ SEO มากที่สุด ในขณะที่ Drupal จะเน้นไปที่การปรับแต่งเว็บอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย รวมทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง แต่ระบบค่อนข้างมีความซับซ้อนผู้ใช้งานจำเป็นที่จะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านการเขียนเว็บไซต์ ในส่วน HTML, PHP เหมาะสำหรับการสร้างเว็บไซต์ทุกรูปแบบ ส่วน Joomla นั้นจะอยู่กึ่งกลางระหว่าง WordPress และ Drupal ก็คือมีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานในระดับหนึ่ง แต่ก็มีลูกเล่นให้สามารถปรับแต่งได้ มีความยืดหยุ่นที่มากกว่า WordPress แต่ซับซ้อนน้อยกว่า Drupal ซึ่งเหมาะสำหรับเว็บไซต์ E-Commerce และเว็บไซต์ Social Network ต่างๆ

จะเห็นได้ว่าทั้งสามแพลตฟอร์มนั้นต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน อยู่ที่ว่าเรานำไปใช้งานในรูปแบบไหนนั่นเอง หวังว่าบทความนี้จะช่วยผู้ใช้งานทุกท่านจะสามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสมตอบโจทย์ในการสร้างสำหรับเว็บไซต์ของท่านมากที่สุดนะครับ